วันนี้มีข้อควรระวัง หรือจะเรียกว่าคำเตือนก็ได้สำหรับผู้หญิงที่พึ่งคลอดลูกหรืออยู่ในช่วงกำลังให้นมเกี่ยวกับการทานยาสมุนไพร
มี 2 เหตุการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการที่แฟนพึ่งคลอดลูก
ต้องขอเท้าความถึงชาติกำเนิดก่อนว่าผมเป็นลูกคนจีนแท้ ๆ
ส่วนแฟนเป็นคนภาคเหนือมาจากจังหวัดตาก
สองฝั่งนี้ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับสมุนไพรของตัวเองนะครับ
เหตุการณ์ที่ 1
วันที่คลอดลูก 2-3 วันแรกผู้หญิงทุกคนน้ำนมจะยังไม่ไหลหรือไหลน้อยมาก พยาบาลจะให้ลูกดูดนมกระตุ้นคุณแม่มือใหม่ พร้อมกับหยอดนมชงให้เด็กไปด้วย ทีนี้แม่ผมฝั่งคนจีนแน่นอนหละว่าเค้าเชื่อเรื่องสมุนไพรมาก ได้สูตรมาจากอาม่าอีกที ก็จัดแจงต้มยาสมุนไพรมาให้แฟนทาน โดยสรรพคุณที่เค้าเชื่อคือ
1. เร่งน้ำนม
2. ขับน้ำคาวปลา
โดยตัวสมุนไพรหลัก ๆ ที่ใช้คือ เก๋ากี้และตังกุยเถ่า (หัวตังกุย) ต้มพร้อมกับไข่ไก่
ปรากฎว่าดื่มไปวันที่ 2 แฟนเริ่มมีลิ่มเลือดออกมากับน้ำคาวปลามากเกินไป ทั้ง ๆ ที่วันแรกน้ำคาวปลายังไม่มีเลือดมากเท่าวันที่ 2 ก็เลยเริ่มเอะใจเริ่มหาข้อมูลของสมุนไพร
สิ่งที่หามาได้มีคำสำคัญอยู่คำหนึ่งคือคำว่า Phytoestrogen
ในตังกุย, น้ำมะพร้าว และสมุนไพรสำหรับสตรีอื่น ๆ จะมีสารที่ชื่อว่า Phytoestrogen นี้เป็นสารสำคัญ โดย Phyto แปลว่า พืช, Estrogen คือฮอร์โมนเพศหญิงที่เร่งการสร้าง Endomotrium (เยื่อบุโพรงมดลูก) เหมาะกับหญิงที่ประจำเดือนไม่มา หรือมาไม่ปกติ ซึ่งเยื่อบุโพรงมดลูกทำหน้าที่รองรับตัวอ่อนที่จะมาฝังตัวจะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก ถ้าไม่มีตัวอ่อนฝังก็จะหลุดกลายเป็นประจำเดือนของผู้หญิง
Phytoestrogen จึงแปลว่า ฮอร์โมน Estrogen ที่สร้างโดยพืชนั่นเอง
Phytoestrogen จึงแปลว่า ฮอร์โมน Estrogen ที่สร้างโดยพืชนั่นเอง
แต่สำหรับหญิงหลังคลอด เค้าต้องการที่จะขับเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ออก ไม่ใช่สร้างเพิ่ม
สำหรับแฟนที่กินสมุนไพรเข้าไปเลยมีอาการที่ว่า Phytoestrogen นี่ไปสร้างเยื่อบุโพรงมดลูก แต่ร่างกายดันขับออก เกิดเป็นลิ่มเลือดออกมากับน้ำคาวปลา
ถามว่าเป็นอะไรมั้ย ถ้ายังคงทานต่อไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนกับต้องถ่ายเลือดทิ้งไปเรื่อย ๆ นั่นแหละครับ สุดท้ายจะเกิดอาการตกเลือด เลือดน้อย ความดันต่ำ อาจถึงเสียชีวิตได้ เรียกได้ว่าอันตรายสำหรับผู้หญิงมาก
จากนั้นก็ให้แฟนเลิกกิน อธิบายให้แม่ฟังว่าทำไมถึงไม่ควรให้ทานสมุนไพร เค้าก็เข้าใจเชื่อเรา เพราะเราเรียนชีวะมา สุดท้ายพาแฟนออกจากโรงพยาบาลได้ปกติ เลี้ยงน้องมีความสุขดี ไม่ค่อยงอแง
ถามว่าเป็นอะไรมั้ย ถ้ายังคงทานต่อไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนกับต้องถ่ายเลือดทิ้งไปเรื่อย ๆ นั่นแหละครับ สุดท้ายจะเกิดอาการตกเลือด เลือดน้อย ความดันต่ำ อาจถึงเสียชีวิตได้ เรียกได้ว่าอันตรายสำหรับผู้หญิงมาก
จากนั้นก็ให้แฟนเลิกกิน อธิบายให้แม่ฟังว่าทำไมถึงไม่ควรให้ทานสมุนไพร เค้าก็เข้าใจเชื่อเรา เพราะเราเรียนชีวะมา สุดท้ายพาแฟนออกจากโรงพยาบาลได้ปกติ เลี้ยงน้องมีความสุขดี ไม่ค่อยงอแง
เหตุการณ์ที่ 2
เป็นเหตุการณ์ที่แม่ยายและครอบครัวของแฟนเดินทางมาเยี่ยมแฟนและหลาน ผมเองต้องไปเรียนโท กลับบ้านมาก็มืดเลยไม่รู้เรื่องอะไร ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้น น้องร้องไห้งอแงทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่เคยงอแงเลย ก็พยายามอุ้มเดิน อะไรต่าง ๆ นา ๆ จนกระทั่งหลับ ทั้งวันผมก็ไม่รู้เรื่องอะไร จนกระทั่งดึกแม่ผมมาบอกว่าแม่ยายต้มน้ำสมุนไพรมาให้แฟนทาน
สมุนไพรนั้นก็คือ ไพล
ทีนี้แม่ผมหาข้อมูลเองเลยหลังจากเหตุการณ์แรกไป เพราะเค้าก็กลัวเกิดอะไรกับน้อง ปรากฎว่าข้อมูลที่ได้คือ
ไพล มีฤทธิ์เร่งเลือดลม ขับโลหิต ขับพิษ มีรสเผ็ดร้อน และที่สำคัญคือเค้าเตือนไว้ชัดเจนว่าหญิงให้นมบุตรไม่ควรทาน และถ้าทานติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ตับวายได้ (เพราะพิษจะถูกขับทางตับ)
เท่านั้นแหละ ผมเดินไปจับหน้าผากน้องถึงว่ารู้ว่าตัวร้อน ถามแฟนก็บอกว่ารู้สึกร้อนวูบวาบตลอดทั้งวัน เท่านั้นแหละชัดเจนมาก แฟนผมถึงกับร้องไห้กลัวว่าลูกจะเป็นอะไร นั่งเฝ้าเช็ดตัวน้องทั้งคืน วันต่อมาก็ให้น้องกินแค่นมชง ยังไม่ให้ดูดนมแม่ ปรากฎว่าดีขึ้น ตัวไม่ร้อน และไม่ร้องงอแง ส่วนแฟนให้ดื่มน้ำมาก ๆ และให้ปั๊มนมทิ้งเรื่อย ๆ จนกระทั่งตอนเย็นถึงให้น้องดูดนมแม่ได้
จาก 2 เหตุการณ์นี้
จะจำไปจนตายเลยว่าถ้าจะทานสมุนไพรอะไร ต้องศึกษาข้อมูลให้หนักก่อนเลย คุณมีอนันต์ โทษก็มีมหันต์ได้เช่นกัน
ปล. เกร็ดความรู้เพิ่มอีกนิด แฟนคลอดธรรมชาติ ตอนอยู่โรงพยาบาลแฟนถามเรื่องอยู่ไฟกับหมอ (แฟนจบเป็นพยาบาล) หมอถึงกับพูดว่า ถอนใบปริญญาซะดีมั้ย ตอนเรียนพยาบาลไม่รู้เลยหรอว่าการอยู่ไฟจะทำให้แผล Burnt (เบิร์น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าคล้ายอาการไฟลวก) ถ้าอยากให้แผลแห้งเร็วแค่เอาโคมไฟแบบหลอดไส้เปิดส่องให้มันอุ่น ๆ ที่แผลแค่นั้นแผลก็แห้งเร็วแล้ว